หากบ้านสำหรับหลายๆ คน คือสถานที่แห่งความสุข เป็นที่ที่ให้ความปลอดภัยทางกายและความสุขสบายทางใจยามเมื่ออยู่อาศัย แน่นอนว่ากว่าจะได้บ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเจ้าของบ้านควรทำความเข้าใจสาเหตุและปัญหาที่จะทำให้บ้านทรุด บ้านร้าว เพื่อหาแนวทางการป้องกันตั้งแต่เริ่มสร้าง
สาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้บ้านทรุด-ร้าว
1. สภาพดินในพื้นที่สร้างบ้านมีการเคลื่อนตัว
ดินมีหลายประเภทและหลายลักษณะ บางพื้นที่ดินเหนียว มีความอ่อนนุ่ม ยุบตัวง่าย บางพื้นที่ดินมีความแข็งและแน่น และบางพื้นที่อาจมีดินทรายปะปนซึ่งการจับตัวของดินเป็นไปได้ยาก ดังนั้นสภาพพื้นดินจึงมีผลต่อการทรุดร้าวของบ้าน เพราะเมื่อดินมีการเคลื่อนตัวย่อมส่งผลต่อฐานรากของบ้าน
การทรุดของดินมักเกิดขึ้นหลังที่เราสร้างบ้านเสร็จแล้ว โดยอาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกเช่น การขุดดินบริเวณข้างเคียง การเกิดน้ำท่วม ทำให้ชั้นดินมีช่องว่างและดินไหลไปตามช่องว่างนั้น หรือการถมดินก่อนสร้างใช้เวลาให้ดินได้เซ็ตตัวไม่มากพอ
2. ระบบฐานรากมีปัญหา
ระบบรากฐานของบ้านเป็นส่วนสำคัญที่ต้องพิถีพิถันและดูแลในขั้นตอนการสร้างเป็นพิเศษ เพราะเป็นส่วนที่รับน้ำหนักทั้งหมดของบ้านไว้ และสิ่งสำคัญที่จำเป็นต่อระบบฐานรากคือเสาเข็ม ซึ่งปัญหาเสาเข็มในระบบฐานรากที่ก่อให้เกิดปัญหาบ้านทรุด มีดังนี้
• เสาเข็มที่หยั่งลงดินไม่ลึกพอ
การสร้างบ้านที่ดีมีมาตรฐานควรลงเสาเข็มให้ลึกไปถึงชั้นดินแข็ง เพื่อให้มีแรงต้านในการรองรับและพยุงตัวบ้านไว้ หากเสาเข็มสั้นไปอาจอยู่แค่ในระดับดินอ่อน ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตมีโอกาสที่ดินจะยุบตัวและทำให้เสาเข็มทรุดลงไปด้วย ส่งผลให้ฐานรากของบ้านเสียหา
• เสาเข็มมีการแตกหักในชั้นดิน
ไม่ว่าจะในขั้นตอนการขนส่งเสาเข็ม หรือขั้นตอนการตอกเสาเข็ม อาจเป็นต้นเหตุทำให้เสาเข็มแตกร้าวหรือชำรุดโดยที่ทีมก่อสร้างไม่ได้สังเกต กรณีนี้จะส่งผลให้เสาเข็มไม่สามารถรองรับน้ำหนักของตัวบ้านได้เต็มที่ ทำให้เกิดการทรุดเอียง และฐานรากอาจแตกร้าวได้
• ตำแหน่งเสาเข็ม ไม่ตรงกับเสาบ้าน
โดยอาจมีการตอกเสาเข็มผิดตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดการเยื้องกันระหว่างเสาเข็มกับเสาบ้าน และเสาเข็มรองรับน้ำหนักได้ไม่ดี 100%
• ปลายเสาเข็มอยู่บนสภาพดินที่ต่างกัน
บ้านหลังเดียวกัน อาจตั้งอยู่บนพื้นดินที่มีลักษณะต่างกัน เช่น ปลายเสาเข็มต้นหนึ่งอยู่บนดินแข็ง แต่อีกต้นอาจอยู่บนดินอ่อน หากใช้เสาเข็มชนิดเดียวกัน ขนาดเท่ากัน ความยาวเท่ากัน เมื่อพื้นดินบริเวณใดบริเวณหนึ่งยุบตัวจะทำให้บ้านนั้นทรุดและร้าวได้
3. ตัวบ้านมีน้ำหนักมากขึ้น
การออกแบบบ้านนอกจากความสวยงามแล้ว สัดส่วนพื้นที่และน้ำหนักจะถูกคำนวนให้สอดคล้องกับส่วนต่างๆ ของโครงสร้างและฐานรากที่รองรับน้ำหนักบ้าน ดังนั้นหากมีการต่อเติมบ้านภายหลัง โดยไม่ได้คำนวนการรับน้ำหนักบ้านของเสาเข็มเผื่อได้ จะทำให้เกิดการกดทับมากไป และเป็นต้นเหตุให้บ้านทรุด
4. กำลังในการรับน้ำหนักของเสาเข็มไม่เพียงพอ
ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆ ดังนี้
• การต่อเติมบ้านภายหลังสร้างเสร็จ เช่น การทำที่จอดรถเพิ่ม การขยายพื้นที่ครัว การทำชายคาเพิ่มเติม
• มีข้าวของเครื่องใช้ที่มีน้ำหนักมากๆ เข้ามาเก็บไว้ในบ้าน
• การคำนวนจำนวนเสาเข็มและการรองรับน้ำหนักผิดพลาดในขั้นตอนการก่อสร้าง กรณีนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการสร้างบ้านด้วยตัวเองโดยใช้ช่างทั่วไป หรือออกแบบบ้านเองโดยไม่มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถในการสร้าง
เทคนิคสร้างบ้านดีมีมาตรฐาน ไม่ทรุด ไม่ร้าวในอนาคต
บ้านที่สมาชิกในครอบครัวสามารถอยู่อาศัยกันได้อย่างสุขกาย สบายใจ รู้สึกปลอดภัยทุกช่วงเวลาและไม่สร้างปัญหาในอนาคตนั้น ถือเป็นบ้านที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาการทรุด-ร้าว ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างบ้านทั้งหลัง จึงต้องหาทางป้องกันตั้งแต่ต้นทางด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้
1. เลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้าน
โดยบริษัทจะมีความเป็นมืออาชีพ และมีทีมงานที่เชี่ยวชาญในการสร้างบ้าน หากเป็นไปได้ควรเลือกทีมที่มีความถนัดในสไตล์บ้านที่จะสร้างด้วย เพราะบ้านแต่ละสไตล์มีรายละเอียดภายในที่ต่างกัน หากทีมงานมีความถนันในสไตล์นั้นๆ แล้ว นอกจากจะได้บ้านสวย ยังได้บ้านที่ผ่านความพิถีพิถัน และระมัดระวังในจุดที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษมาอย่างดีด้วย
2. วางแผนการสร้างในทุกขั้นตอน
การวางแผนอย่างละเอียดในทุกขั้นตอนจะทำให้งานเป็นไปอย่างราบรื่น หากมีปัญหาจะแก้ไขได้ทันท่วงที
3. หากต้องการต่อเติมบ้าน ควรปรึกษาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้าน หรือการต่อเติมบ้านนั้น ควรทำโดยมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีความสามารถในการสร้างอย่างถูกต้องตามหลักการสร้าง และมีมาตรฐาน ควรหลีกเลี่ยงการต่อเติมเองโดยใช้ช่างหรือผู้รับเหมาทั่วไป เพราะอาจเกิดความเสียหายกับตัวบ้านและอันตรายได้
4. สืบประวัติพื้นที่หรือเจาะสำรวจดินก่อนสร้าง
ก่อนสร้างบ้านควรมีการสืบประวัติพื้นที่ว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน เช่น เคยมีน้ำท่วม หรือเคยเป็นบ่อน้ำ แอ่งน้ำขนาดใหญ่มาก่อน และควรเจาะสำรวจสภาพดินบริเวณที่จะสร้างบ้าน เป็นการเจาะหรือขุดดินเพียงเล็กน้อย เพื่อตรวจชนิดของดิน การเรียงตัวของชั้นดิน ระดับน้ำใต้ดิน และรายละเอียดอื่นๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการคำนวณหาการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้าง การออกแบบฐานราก และการใช้เสาเข็มให้เหมาะสมกับพื้นที่
5. มองหาที่ดินสำหรับการสร้างที่เหมาะสม
การสร้างบ้าน หากยังไม่มีที่ดินไว้อยู่แล้ว และสามารถเลือกที่ดินได้ ควรเลือกพื้นที่ที่มีสภาพดินไม่อ่อนยวบ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหาดินทรุดง่าย
6. ถมดินในพื้นที่ที่จะก่อสร้างทิ้งไว้นานๆ
โดยปกติอาจใช้เวลา 6-12 เดือน ก่อนสร้างบ้าน เพื่อให้ดินมีการเซ็ตตัว และคงสภาพที่ไม่ต่อให้เกิดการยุบตัวในเวลาอันสั้น แต่ถ้าไม่มีเวลาสำหรับถมดินทิ้งไว้มากนัก อาจใช้รถบดอัดดินช่วยเพื่อร่นระยะเวลาก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดคือถมดินทิ้งไว้นานๆ พร้อมกับใช้รถบดอัดดินด้วย
7. โครงสร้างทุกอย่างให้ใช้ฐานรากเดียวกับบ้าน
โครงสร้างที่จะใช้ฐานรากติดกับบ้าน เช่น ที่จอดรถ ทางเดินรอบบ้าน หรือส่วนที่เป็นโครงสร้างอื่นๆ นอกตัวบ้าน ให้ทำเสาเข็มรองรับทั้งหมด เพื่อไม่ให้ส่วนที่ไม่มีเสาเข็มทรุดตัวตามดิน
8. เว้นช่องแยกโครงสร้างที่ไม่ใช้ฐานรากเดียวกับตัวบ้าน
สำหรับโครงสร้างที่ไม่ได้ใช้ฐานรากเดียวกับบ้าน และไม่มีการตอกเสาเข็มรองรับน้ำหนักไว้ หากจะก่อสร้างควรเว้นช่องแยกจากตัวบ้านชัดเจน ไม่ควรสร้างให้เชื่อมต่อกับตัวบ้าน เพราะหากมีปัญหาการทรุดตัวของดินในบริเวณโครงสร้างที่ไม่ใช้ฐานรากติดกับตัวบ้าน ก็จะเสียหายแค่พื้นที่ส่วนนั้น ไม่ส่งผลกระทบหรือเกิดปัญหากับตัวบ้าน
9. ตรวจเช็กงานสร้างเป็นระยะ
โดยในการสร้างบ้านกับบริษัทรับสร้างบ้าน นอกจากจะมีมาตรฐานการสร้างที่เชื่อถือได้แล้ว ทีมงานยังมีการรายงานขั้นตอนการก่อสร้างเป็นระยะๆ และเจ้าของบ้านสามารถปรึกษา และเช็กงานได้ตลอดการสร้าง
บ้านทรุด บ้านร้าว เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังการสร้างเสร็จ ดังนั้นการวางแผนการสร้างที่ดี แบบบ้านมีมาตรฐาน วัสดุที่ใช้มีคุณภาพ ขั้นตอนการสร้างเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักวิศวกรรม และดำเนินการสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
สนับสนุนบทความโดย
บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด
ที่อยู่ : 288/18 ถ.พหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220
โทรศัพท์ : 0 2970 3080
เว็บไซต์ : www.emperorhouse.com
อีเมล์ : customerservice@emperorhouse